18 พฤษภาคม 2553

ผลกรรม - คำพิพากษา ตอน เสียดายนปช.ไม่ได้อ่าน

- เวรกรรมอะไร ทำให้ชาติบ้านเมืองวุ่นวายถึงเพียงนี้

- การยุยงปลุกปั่น : กล่าวร้ายป้ายสีผู้ประเสริฐ : ปิดถนน ได้รับผลอย่างไร ดังตฤณเปิดใจให้ความกระจ่าง

- เปิดกฏหมายหาความผิด มีตั้งแต่ติดคุกจิ๊บๆ ยันประหารชีวิต

- มองผลกรรมชาตินี้ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า หัดมองตามความเป็นจริง เพื่อบ้านเมืองสงบสุข

วันชัย สอนศิริ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และทนายความชื่อดัง กล่าวว่า พฤติกรรมของกลุ่มคนเสื้อแดงตลอดระยะเวลาของการชุมนุมมีการกระทำที่ผิดกฎหมายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากประมวลกฎหมายต่างๆ เข้ากับการกระทำของกลุ่มเสื้อแดง จะพบว่า มีการกระทำผิดที่หลากหลาย ตั้งแต่ปรับไม่เกิน 500 บาท ไปจนถึงการประหารชีวิต

เริ่มจากพฤติกรรมการกีดขวางการจราจรด้วยการรวมกลุ่มชุมนุม ตั้งด่าน ปิดถนน ถือเป็นการกีดขวางการจราจร มีโทษเริ่มต้นที่การปรับไม่เกิน 500 บาท แต่หากใช้ พ.ร.บ.ทางหลวง ในมาตรา 38 การดำเนินการใดๆ บนเขตทางหลวง ในลักษณะที่เป็นการกีดขวาง หรืออาจเป็นอันตรายแก่ยานพาหนะ เช่นการนำรถไปขวางถนน นำคนไปขวาง นำรถสิบล้อไปขวาง รวมถึงการกระทำในลักษณะรื้อถอน ทำลาย ถอนตัวหนอน งัด ขวาง หรือขนย้ายสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไปวาง หรือกองอยู่บนทางหลวง ดังที่กลุ่มเสื้อแดงดำเนินการหลายครั้งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ กรณีนี้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พฤติกรรมต่อมา คือการวางเรือใบ ตะปู ที่คนเสื้อแดงในจังหวัดฉะเชิงเทรามีการกระทำไว้ เป็นการละเมิด มาตรา 39 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการปิดกั้นทางหลวง หรือวางวัตถุที่แหลม หรือมีคม หรือนำสิ่งใดมาขวาง หรือวางบนทางหลวง หรือกระทำโดยประการใดๆ ที่อาจเกิดอันตราย เสียหายต่อยานพาหนะ หรือบุคคล มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พฤติกรรมการพ่นข้อความโจมตีรัฐบาล ติดสติกเกอร์โจมตี เข้าข่ายทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เปลี่ยนแปลง ขีดเขียน เคลื่อนย้าย รื้อถอนป้ายจราจรทางหลวง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตามมาตรา 40

เพียงแค่ พ.ร.บ.ทางหลวง ตั้งแต่มาตรา 38-39-40 ก็มีโทษจำคุกถึง 3 ปีแล้ว

การกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ปิดถนนไม่ให้ผู้คนสัญจรไปมาโดยสะดวก มีการหยุดรถ ขอตรวจค้น ขู่เข็ญ ทำร้าย ไปจนถึงการหยุดรถทหารที่จะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ล้วนแต่มีความผิดทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ ในมาตรา 309 ตามประมวลกฎหมายอาญา ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือชื่อเสียง ทำให้ผู้นั้นจำเป็นเพราะกลัวถูกประทุษร้าย ลักษณะนี้ก็เป็นความผิดทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากกรณีที่มีผู้ไม่ยินยอมหยุดรถตามความต้องการของผู้ชุมนุม และถูกทุบรถ หรือปล่อยยางลม เข้าข่ายเป็นการทำให้เสียทรัพย์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ในมาตรา 358

อาจารย์วันชัย กล่าวว่า การกระทำเหล่านี้แต่ละข้อหาต้องแยกออกจากกัน การที่ผู้ชุมนุมไม่ให้ผู้คนเดินทางได้ ก็ถือเป็นการทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ มีความผิดหนึ่งกระทงแล้ว ยังทุบรถของประชาชนอีก ถือเป็นการเรียงกระทงความผิด เพราะเป็นการกระทำผิดครั้งเดียว แต่เรียงหลายกรรม บทลงโทษก็ต้องทบกันเข้าไป

ความผิดต่อมา อาจารย์วันชัยกล่าวถึงพฤติกรรมการชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่รวมตัวกันเกินกว่า 5 คน ประมวลกฎหมายอาญา ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน หรือเกี่ยวกับการทำลาย เกี่ยวกับสถาบัน การทำร้ายร่างกาย ผู้นั้นมีความผิดฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และเมื่อการชุมนุมมีการปราศรัยโจมตี ก็แน่นอนว่าจะเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามมาตรา 328 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท

ทั้งหมดนี้ถือเป็นโทษระดับเบาๆ ที่หากเรียงโทษแต่ละข้อหา ก็มีโทษจำคุกไม่เกิน 17 ปีแล้ว

แต่พฤติกรรมของคนเสื้อแดงไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ มีความผิดที่ดูจะมีโทษหนักหนาสาหัส รออยู่อีกมาก อาจารย์วันชัย กล่าวถึงการรวมตัวของคนเสื้อแดงที่รวมกลุ่มเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งการไปขับไล่นายกฯ ขับไล่รัฐมนตรี การเทเลือด ล้วนเข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายไม่ว่าจะจากการพูด หรือการกระทำก็ดี การชุมนุมบุกไปที่รัฐสภา เข้ามาตราล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บุกเข้าไปในสภา ล้มล้างการประชุมไม่ว่าอำนาจการบริหาร หรืออำนาจตุลาการ ทำให้ใช้อำนาจดังกล่าวไม่ได้ เรื่องของการประกาศจัดตั้งรัฐไทยใหม่ ก็เข้าข่ายการแบ่งแยกราชอาณาจักร หรือยึดอำนาจการปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใด ที่มีบทลงโทษผู้กระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต เพราะเจตนารมณ์พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต้องการล้มล้างรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ ต้องการให้นายกรัฐมนตรีบริหารแผ่นดินไม่ได้ พฤติกรรมดังกล่าวหากเชื่อมโยงไปถึงรัฐไทยใหม่ สามารถนำสืบได้ว่ามีการกระทำจริง ก็มีความผิดฐานเป็นกบฏได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ ขับไล่นายกรัฐมนตรี ก็เข้าข่ายเป็นกบฏแล้ว มีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต

อาจารย์วันชัย กล่าวต่อว่า นอกจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงแล้ว ยังพบว่า เสื้อแดงบางกลุ่มยังมีแนวคิดในการโค่นล้มสถาบัน ในเว็บไซต์จะพบผู้ที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับสถาบัน มีหลายเว็บไซต์จาบจ้วง ถ่ายทอดออกมาทางพีเพิล แชนแนล หรือแม้กระทั่งหนังสือ Voice of Taksin ก็มีการลงเนื้อหาจาบจ้วงสถาบันอยู่เป็นประจำ บางคนเป็นตัวการ ออกหน้าออกตาชัดเจน ขณะที่บางคนเป็นผู้รู้เห็นเป็นใจ ให้การสนับสนุน หรือเป็นตัวการร่วม ตนเชื่อว่าขบวนการนี้มีอยู่จริง ชื่อบุคคลที่พูดกันมามีการจาบจ้วงสถาบันก็มีอยู่จริง ซึ่งพฤติกรรมของคนเหล่านี้ ในมาตรา 112 พระมหากษัตริย์ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี

อีกหนึ่งความผิดที่เข้าข่ายต้องโทษประหารชีวิต คือความผิดฐานก่อการร้าย หากเทียบเคียงพฤติกรรมของคนเสื้อแดงกับกฎหมาย มาตรา 135/1 ใน พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2546 การปิดถนนราชประสงค์ หรือราชดำเนิน ลิดรอนเสรีภาพของคน ห้ามสัญจรไปมา บุกโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ การทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ทุบตีประชาชน เข้าข่ายการใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ ใช้กำลังประทุษร้าย ขณะเดียวกัน การปิดถนนในหลายจุดทั่วประเทศ รวมถึงการนำยางรถยนต์ไปปิดทางวิ่งรถไฟฟ้าบีทีเอส ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบขนส่งสาธารณะ ปิดถนนหนทาง หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และการปิดพื้นที่ย่านการค้า ราชประสงค์ ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง เข้าข่ายเป็นกระทำการใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือบุคคลหนึ่ง บุคคลใด หรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิด หรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ ซึ่งการกระทำทั้งหมดนี้มีผลเพื่อบีบบังคับรัฐบาลไทย หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้กระทำนั้นจะมีความผิดฐานก่อการร้าย ซึ่งความหมายของการก่อการร้าย ไม่ใช่การเอาอาวุธมายิง หรือต้องปาระเบิดใส่ เพียงแค่ปิดถนนหนทาง บีบบังคับรัฐบาลให้ออก ขู่ให้หวาดกลัว ผู้คนจะไปไหนมาไหนไม่ได้ ยึดราชประสงค์ ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ถือเป็นการก่อการร้ายทั้งสิ้น ระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 20 ปี ปรับตั้งแต่ 6 หมื่นถึง 1 ล้านบาท

อาจารย์วันชัย กล่าวด้วยว่า คดีทั้งหมดนี้ จะเป็นความผิดที่เกิดขึ้นต่างกรรม ต่างวาระ ด่ารัฐบาลมา 2 เดือน ก็คิดทบกันไป ไปปิดมากี่เส้นกี่ครั้ง แต่ละครั้งก็จะมีความผิดบวกกันไป โทษจะบวกดับเบิลไปเรื่อยๆ ถ้าบุคคลกลุ่มเดียวกัน หรือชุดเดียวกัน เช่น ขวัญชัย ไพรพนา วันนี้ไปปิดหลักสี่ อีกวันไปปิดราบ 11 อีกวันไปราชประสงค์ ลักษณะเช่นนี้กฎหมายระบุว่า ต่างกรรม ต่างวาระ การฟ้องดำเนินคดีก็จะดับเบิลไป การนำเลือดไปเท ถือเป็นการขู่เข็ญเขา ทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพว่าจะกระทำการใด ไม่กระทำการใด ทั้งหมดไม่ถือว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เพราะการชุมนุมนั้นปรากฏว่าบางคนมีอาวุธ กระบอง ไม้ไผ่แหลมๆ จะบอกว่าไม่มีอาวุธได้อย่างไร ไม้ไผ่แหลมๆ โดยสภาพมันไม่ใช่อาวุธ แต่ถ้าใช้แทงขึ้นมาก็ถือเป็นอาวุธ การเข้าไปโรงพยาบาล อาจจะมีความผิดฐานบุกรุก ในโรงพยาบาลขณะเปิดทำการ ใครก็สามารถเข้าได้ในที่เปิดทำการ แต่ที่บางส่วน บางแห่ง บางห้อง เป็นห้องที่ไม่ได้เป็นที่บริการสาธารณะ เข้าไปกลางคืนเกิน 2 คน ถือเป็นการบุกรุก มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี รวมถึงทั้งหมดเป็นการชุมนุมมีความผิดทาง พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วย มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี เป็นพื้นอยู่แล้ว

เรียกได้ว่า หากเสร็จสิ้นการชุมนุมนี้ บรรดาแกนนำ ทั้ง 3 เกลอหัวขวด วีระ มุสิกพงศ์, จตุพร พรหมพันธุ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมถึง เหวง โตจิราการ, อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, สุเทพ อัตถากร และขวัญชัย ไพรพนา มีหวังได้หัวขาด หรือติดคุกหัวโตอย่างแน่นอน

เชื่อสุดท้ายตำรวจเกียร์ว่าง

เสื้อแดงผิดแค่น้ำจิ้ม

แม้ความผิดของกลุ่มเสื้อแดง มีกฎหมายที่กล่าวถึงบทลงโทษที่สามารถเชื่อมโยงการทำผิดแต่ละเรื่องได้อย่างชัดเจน แต่อาจารย์วันชัยเชื่อว่า ข้อกล่าวหาใหญ่ๆ เช่น กบฏ การก่อการร้าย หรืออาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจสาวไปไม่ถึง เพราะเมื่อถึงขั้นตอนของการทำสำนวน คงไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดจะตั้งใจทำสำนวนส่งฟ้องกันอย่างจริงจัง คงเหลือแต่คดีเล็กๆ ที่ติดคุกไม่กี่ปี หรือปรับไม่กี่พันบาท ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ หากจะถามว่าทำไมจึงไม่สามารถทำคดีเอาผิดผู้ชุมนุมให้ถึงที่สุดได้ ก็เพราะฝ่ายรัฐไม่มีความเข้มแข็ง ส่งผลไปถึงตัวเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีความเข้มแข็ง ทำให้การดำเนินการเป็นเรื่องยาก นโยบายของรัฐ ที่บริหารโดยรัฐในสภาพเช่นนี้ เหมือนดังที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร กล่าวไว้ว่าเป็น Fail government หรือรัฐบาลที่ล้มเหลว ถูกต้อง รัฐพูดแต่ไม่มีใครฟัง ทั้งตำรวจ อัยการ ก็ไม่คิดว่าจะต้องทำตาม จึงจะเห็นหนทางที่ไม่ไปถึงจุดหมายปลายทางเหมือนที่ควรเป็น ทั้งที่ทั้งหมดหากนำมาพิจารณาอย่างเอาจริงเอาจัง ตั้งอกตั้งใจทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ให้เหมือนจับโจรห้าร้อยที่ฆ่าชาวบ้าน ก็มั่นใจว่าเอาผิดได้ถึงประหารชีวิตแน่นอน
"การที่ผมเป็นทนายความจะรู้ และเข้าใจดีว่า สำนวนแต่ละสำนวนเวลาจะลงโทษผู้ใด จะต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีความแน่นหนา สอบพยานกันอย่างเอาจริงเอาจัง ลองคิดดูจะมีใครตั้งใจทำจริงจัง และคิดไหมว่าจะมีใครเป็นพวกของฝั่งตรงข้ามบ้าง ดังนั้นยาก และเมื่อวันเวลาเปลี่ยนแปลงไปเป็นปีๆ ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปด้วย คนทำสำนวนก็ไม่แน่ใจ เพราะมีคนบางคนประกาศไว้ว่า ถ้ามีอำนาจเมื่อไหร่จะกลับมาเอาคืน เมื่อไม่เคารพกติกากันบ้านเมืองก็เละเทะ แต่ถ้าเอาผิดกันจริงๆ จังๆ ผมเชื่อมั่นว่ากฎหมายสามารถสาวไปถึงคนที่อยู่ในขบวนการเหล่านี้ ไม่เคยโต้แย้ง เป็นนายทุนออกเงินให้ผลิตหนังสือ Voice of Taksin สนับสนุนให้กับพีเพิล แชนแนล เป็นนายทุนให้กับเว็บไซต์ที่หมิ่นสถาบัน ทั้งหมดล้วนเป็นตัวการร่วมขบวนการทั้งสิ้น "ถามว่ามีการทำอะไรกันบ้างหรือเปล่า"

แล้วเมื่อเราไม่สามารถพึ่งพาให้กฎหมายมีความทรงสิทธิ์ เปิดคุก เปิดลานประหารรอรับกบฏโค่นล้มแผ่นดิน โค่นล้มสถาบันได้ เพราะติดอุปสรรคอยู่ที่ตัวคนที่มีหน้าที่ใช้กฎหมายละเลย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ โอกาสที่จะเห็นคนผิดทำลายบ้าน ทำลายเมือง ถูกลงโทษลงทัณฑ์ให้สาสมกับสิ่งที่ได้กระทำไว้ ในทางโลกเลือนราง เมื่อทางโลกไม่สามารถลงโทษคนผิดได้ ก็คงต้องหันพึ่งทางธรรม ที่หวังว่าจะเอาผิดคนชั่วให้ชดใช้กรรมที่ก่อไว้อย่างสาสมได้

ลองหลับตานึก และไตร่ตรองดูสักนิดว่า ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกสร้างให้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เกลียดชัง หวาดกลัว พร้อมใช้อาวุธประหัตประหารคนไทยด้วยกัน เพียงแค่เห็นต่างกันออกไปเช่นนี้ จะส่งผลอย่างไรต่อตนเองในภายภาคหน้า

หากเป็นเรื่องของกฎหมายคงไม่ยากเกินคาดเดา ด้วยตัวบทกฎหมายก็มีให้อ่าน นักกฎหมายก็มีให้คำปรึกษา

กรรมที่ก่อไว้ หากเป็นทางกฎหมายอาจพอผ่อนผันให้ทุเลาลงได้ แต่กรรมที่ก่อไว้กับโลก ในความเป็นจริงทางธรรมชาตินั้นคงยากจะขอผัดผ่อนหรือบรรเทาให้เบาลงได้

การนำเสนอของ "ผู้จัดการ 360 รายสัปดาห์" ฉบับนี้ ไม่ได้มีอคติที่จะกล่าวร้ายโจมตีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพียงแต่นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมามาประมวล ผ่านการนำเสนอใน 2 แนวทาง แนวทางแรก การกระทำที่ผิดกฎหมายจะได้รับโทษทัณฑ์อย่างไร โดยจำแนกให้เห็นอย่างชัดเจนในแต่ละมาตราของการกระทำความผิด ผ่านมุมมองของ อาจารย์ วันชัย สอนศิริ นักกฎหมายผู้มากประสบการณ์

แนวทางที่สอง ผลกรรมที่เกิดขึ้นจากการกระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าจะได้รับผลอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่เกินกว่าฐานะที่คนธรรมดาจะหยั่งรู้ และคาดเดาได้ ทางกองบรรณาธิการได้รับความอนุเคราะห์จากนักเขียนหนังสือแนวธรรมมะที่ใช้นามปากกาว่า "ดังตฤณ" ผู้เขียน "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน" หนังสือที่ได้รับการตอบรับจากผู้สนใจในธรรมจำนวนมากที่สุดในยุคนี้ มาเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราว

ทั้งหมดนี้ทำขึ้นด้วยความมุ่งหวังที่จะเตือนสติ กระตุ้นเตือน และหวังในประโยชน์ว่า หากใครได้อ่านบทความชิ้นนี้แล้วจะกลับมามองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริง นำความจริงมาพูดคุยกัน เพื่อนำความสงบสุขกลับคืนสู่บ้านเมือง และนำรอยยิ้มกลับคืนสู่ "ในหลวง" ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของเรา

สำหรับการนำเสนอเรื่องผลกรรมนั้นจะเน้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตใจของผู้ที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลานี้ ในชาตินี้เป็นสำคัญ มากกว่าจะไปพูดถึงชาติหน้า ภพหน้า ที่ยากเกินกว่าที่ใครจินตนาการได้ถึง หรือบางครั้งอาจกลายเป็นเรื่องตลกขบขันของใครหลายคน

"เรามานึกภาพที่มันเกิดขึ้นแล้วให้สามารถเห็นได้ในตอนนี้ดีกว่า จากเศรษฐีกลายเป็นโจร จากคนมีบุญกลายเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย จากคนที่มีเงินซื้อสามารถซื้อหาความสุขที่ชาวโลกไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็น กลายมาเป็นปิดตัวเองอยู่ในห้องแคบๆ มืดๆของความประสงค์ร้าย ห้องมืดๆของการทำให้บ้านเมืองแตกแยกกัน

การที่เรามองว่าผลที่มันจะเกิดขึ้นกับคนคิดร้าย เราพยายามพูดให้เห็นว่าจิตใจเขาเปลี่ยนไปถึงไหนแล้ว มันดีกว่ามากกว่าการที่เราจะไปขู่กันเรื่องนรก หรือทุพลภาพที่ต่างฝ่ายต่างมองไม่เห็น และบางคนไม่เชื่อด้วยซ้ำ ซึ่งมันไม่มีประโยชน์ ไม่กระตุ้นอะไรเลย ไม่ทำให้เรื่องดีขึ้น ตรงกันข้ามกลับจะทำให้เรื่องเลวร้ายลง เพราะคนเราพอพูดถึงเรื่องนรกมันคือการสาปแช่งกัน ยิ่งเป็นการตอกย้ำกันว่าแกกับฉันคนละข้าง ฉันด่าแก ฉันแช่งแก ความรู้สึกของคนถูกด่า ถูกแช่งจะมีปฏิกิริยาต้านกลับ กลายเป็นเตะกลับไปกลับมาไม่รู้จบ"

จากนี้ไปเราจะมาดูว่ากระทำอะไรบ้างจะส่งผลให้รับกรรมแบบไหน และส่งผลให้จิตใจเป็นอย่างไร (อ่านแล้วลองสำรวจจิตใจตนเองไปด้วย)

ใส่ร้ายผู้ประเสริฐ ผู้มีจิตใจสูง

แม้ "ในหลวง" จะเป็นพระมหากษัตริย์ที่ประเสริฐยิ่งเพียงใด ก็ยังไม่วายที่จะถูกติฉินนินทา

ถามว่ากรรมของคนที่ทำต่อผู้ประเสริฐ ผู้ที่น่าเคารพ ผู้ที่สว่างเช่นนี้จะได้รับผลอย่างไร

คำตอบของเรื่องนี้อยู่ที่การตั้งมุมมองของคนอีกกลุ่มหนึ่งว่ามีความคิดและทัศนคติต่อพระองค์ท่านอย่างไร

อย่างแรกคือ คนจำพวกนั้นไม่เชื่อว่าพระองค์ท่านดีจริง ประเสริฐจริง สว่างจริง เมื่อมุมมองของพวกเขาเหล่านั้นเป็นเช่นนี้ทำให้คิดว่าตนมีสิทธิ์วิพากษ์ วิจารณ์

เมื่อจุดเริ่มต้นมาจากความเข้าใจผิด จึงทำให้พอจะมองได้ว่ากลุ่มนี้ไม่ได้ทำบาป ทำกรรมอย่างเต็มที่

ผลของกรรมจึงต้องจำแนกเป็นอย่างๆ เพื่อเป็นกลาง ดังนี้ คือ การที่พระองค์ท่านมีความสว่างที่ยิ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ สามารถส่องสว่างได้ มีความหนักแน่นยิ่งกว่าหินผา ใครวิ่งเข้าไปชนหน้าผามาแต่จะเจ็บตัว หากใครพยายามสร้างสิ่งใดขึ้นมาเพื่อปิดความสว่างความมืดก็ตกอยู่กับตัวของคนๆนั้น

พระองค์ท่านเป็นความสวยงามอยู่แล้วหากเรานำสีไปป้ายให้ดูเหมือนภาพที่ไม่สวย ใจที่นำเอาความอัปลักษณ์ไปป้ายมันก็เป็นใจที่อัปลักษณ์ คนที่เป็นคนทำคนแรกคือคนที่ได้รับผลร้ายแรงที่สุด รุนแรงที่สุด

"แสงยิ่งสว่างเท่าไร เรายิ่งไปปิดเรายิ่งเป็นผู้มืดบอดมากเท่านั้น หินผายิ่งหนักแน่นมากเท่าไร ยิ่งเอาหัวไปกระแทกมากเท่าไรยิ่งสาหัสมากเท่านั้น ท่านไม่ได้ผิด แต่เราไปพูดว่าท่านผิด ไอ้ความผิดพลาดกลับเกิดที่เรามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งท่านเป็นฝ่ายถูกมากเท่าไร แล้วเราพยายามบอกว่าผิด ความผิดพลาดของเราจะยิ่งหนักขึ้นเท่านั้น ตรงนี้พูดได้ง่ายๆว่า บุคคลคนหนึ่งยิ่งมีพลังรุนแรงแค่ไหน เราส่งแรงกิริยาไปอย่างไร ปฏิกิริยาย่อมขยายออกมาเท่านั้น"

การเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง

การเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งมีตั้งแต่ระดับชั้นผู้น้อยไปจนถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุด หลายคนคงคุ้นชินกับคำว่าทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศ หรือบางคนอาจรู้สึกสุดเซ็งเมื่อได้ยินชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กับบทบาทนิ่งเงียบไม่ทำอะไร

แต่ในเรื่องกรรมนั้นต้องมองอีกแบบหนึ่ง

คุณดังตฤณ บอกว่า หากถามว่ากรรมที่ไม่ดำเนินการอะไรเพื่อทำให้ประเทศชาติสงบสุขสักที ทั้งที่มีอำนาจแต่ไม่ยอมใช้อำนาจนั้น เรื่องนี้ต้องมองให้ลึกลงไปว่าเหตุผลที่ไม่ใช้อำนาจคืออะไร สมมติเป็น 2 ประเด็น ประเด็นแรก สมมติพลเอกอนุพงษ์มีเหตุผลที่ไม่ทำลงไป เพราะไม่ต้องการให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย ด้วยเห็นว่าจะตายกันไม่หยุด จึงไม่ยอมดำเนินการอะไร ตรงนี้ถือว่าเป็นบุญ ประเด็นที่สอง สมมติอีกว่าที่ไม่ยอมดำเนินการเพราะไม่อยากเสียคน ไม่อยากถูกต่อว่า ถือเป็นการไม่รับผิดชอบต่ออำนาจที่ประเทศยกให้

ถามว่าแล้วผลกรรมแบบไหนที่ผู้บัญชาการทหารบกจะได้รับ

เรื่องนี้อยู่ที่การตัดสินใจของพลเอกอนุพงษ์ว่าที่ตัดสินใจไม่ดำเนินการใดๆลงไปมีเจตนาอันใด

หากมองในแง่ดีคือเชื่อว่าพลเอกอนุพงษ์เป็นคนดี ไม่ยอมใช้อำนาจเพื่อสนองตัณหาของตนเอง และที่สำคัญได้น้อมนำ หรือเลียนแบบข้อดีขององค์พระมหากษัตริย์ ในข้อของความเป็นคนใจดี ไม่ใจร้าย ไม่เห็นแก่ตัว หากพลเอกอนุพงษ์ไม่ทำเพราะเจตนาต่างๆเหล่านี้ถือว่ายังมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผลที่ทำให้หลายคนยังให้การสนับสนุน

"แต่อยากจะบอกว่าโลกทุกวันนี้อำนาจไม่ได้อยู่ในมือคนที่ถือปืน แต่อยู่ในมือของคนที่พูดรู้เรื่องสื่อสารเก่ง ดังนั้น ถ้าหากผู้ถืออำนาจหันมาสื่อสารกับประชาชนให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าพูดออกมาจากใจจริงๆ แล้วใจจริงนั้นเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องได้ มันจะจบ คนจะเชื่อแล้วปัญหาไม่ตามมา ไม่ต้องเขียนสคริปต์ ไม่ต้องแต่งคำพูด"

การยุยงให้คนเกลียดชังกัน-ทำร้ายกัน

ขึ้นต้นมาแต่ละฝ่ายจะรู้สึกว่าตนเองเป็นนักมวย มีค่ายของตนเอง แล้วขึ้นชกกันเอาชนะกันและกัน ซึ่งการทำจิตวิทยามวลชนเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกลายเป็นปีศาจขึ้นมาให้ได้ ตรงนี้คือกรรมแรก เพราะไม่มีจิตวิทยามวลชนแขนงไหนที่สอนไว้ว่าให้ชื่นชมอีกฝ่าย แล้วจะประสบความสำเร็จ

วิธีการที่จะล้มอีกฝ่ายหนึ่ง ย่อมมีวิธีการที่จะสร้างให้อีกฝ่ายเป็นปีศาจ ส่วนตัวเองต้องเป็นเทพ แต่เนื่องจากปีศาจมีหลายระดับตั้งแต่สมัครเล่น มืออาชีพ ปีศาจมีเขี้ยวโง้ง หรือแค่เขี้ยวเล็กธรรมดา และเมื่อถูกสร้างภาพว่าฝ่ายหนึ่งเป็นปีศาจแน่นอนว่าคนจำนวนมากที่อยู่ฟากเดียวกันต้องเป็นบริวารปีศาจ

พอเราเริ่มระบายสีด้านที่เป็นด้านมืดให้กับคนอื่น สิ่งที่จะย้อนกลับมาหาทันทีคือ เราจะมองโลกในแง่ร้าย ยิ่งมีความจำเป็นที่จะต้องระบายสีให้คนอื่นเป็นปีศาจมากขึ้นเท่าไร สีของความเป็นปีศาจนั้นจะเข้ามาสิงสถิตในใจเรามากขึ้นๆโดยที่ไม่รู้ตัว

"พูดง่ายๆ ว่า เราจะมีวิธีมองแบบปีศาจนั่นเอง คือขอให้ลองนึกว่าเป็นคนธรรมดามีดีมีชั่ว แต่พอจะไปล้มอีกฝ่ายต้องมองว่าเขาไม่ดีอย่างเดียว วิธีการคิดของคุณมันเป็นวิธีการคิดแบบปีศาจเพื่อที่จะเห็นปีศาจเราต้องปีศาจซะเอง มันต้องเข้าใจว่าปีศาจเป็นอย่างไรถึงจะมองปีศาจได้ออก"

เมื่อวิธีการป้ายสี ระบายสี ยุยงให้เกิดความเกลียดชังกันเป็นวิธีการของปีศาจ จึงหาใช่เรื่องแปลกอันใดที่ตัวคนป้ายสีจะค่อยๆ กลายเป็นปีศาจโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเคยดีมาขนาดไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเคยมีการสร้างสมดุลระหว่างความดี ความชั่วมาขนาดไหนก็ตาม เพราะท้ายที่สุดแล้วคนนั้นจะเสียสมดุลไปให้กับปีศาจ

"ถามว่าผลกรรมของการเป็นปีศาจคืออะไร อันดับแรกที่เห็นได้จากโลกภายในของตัวเองก็คือวิธีคิดที่แย่ลง คือความคิดดีๆของเราจะน้อยลงกว่าแต่ก่อน วิธีคิดจะเป็นวิธีคิดแบบคนที่สร้างนรกมากกว่าวิธีคิดของคนสร้างสวรรค์ มากกว่าวิธีคิดของคนที่จะรักษาโลกมนุษย์ให้เป็นโลกมนุษย์อยู่ มันเป็นวิธีคิดที่ทำอย่างไรที่จะทำให้โลกที่สันติสุขอยู่ลุกเป็นไฟขึ้นมา เป็นนรกขึ้นมา เพื่อสนองตัณหาของตนเอง หรือไปให้ถึงธงของตนเอง นี่คือผลอันแรก มันได้กับตัวเองคือระดับของจิตใจมันตกต่ำลง

ผลกรรมอันดับต่อมาคือเรื่องของอารมณ์ เรื่องของความรู้สึกเป็นสุขกับชีวิตมันน้อยลง เพราะการสร้างนรกจะเป็นสุขได้อย่างไร แล้วถ้าเอานรกแบกไปทุกที่ที่ไป มันจะมีความสุขได้หรือชีวิตนี้ ความรู้สึกเต็มไปด้วยนรก เต็มด้วยความทุกข์ ผลกรรมในภายภาคหน้าขี้คร้านจะพูด พูดไปป่วยการคนสมัยนี้ไม่เชื่อนรกสวรรค์ เราพูดถึงนรกที่เห็นได้จากการมีชีวิตในปัจจุบันดีกว่า ผมถามหน่อยใครบ้างนอนแล้วฝันดีที่ไปทำตัวเป็นปีศาจไม่มีหรอกที่ฝันดี มีแต่ยิ่งฝันยิ่งทุรนทุราย แล้วไม่อยากนอน นอนไม่เต็มอิ่ม หรือตื่นมาเพื่อจะฟาดฟัน สร้างนรกกันต่อ"

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรที่จะหลีกลี้หนีความเป็นปีศาจให้พ้น

ด้วยความที่เป็นนักมวยที่ต้องล้มอีกฝ่ายลงให้ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีชกใหม่ เป็นการชกกันแบบสุภาพบุรุษ ภายใต้กฎกติกาที่ถูกต้อง หยิบยกเฉพาะเรื่องที่ผิดพลาดจริง เอาใจจริงมาพูดกัน อย่าไประบายสีฝั่งตรงข้ามให้กลายเป็นปีศาจทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากสามารถล้มอีกฝ่ายหนึ่งได้ก็จะเป็นการล้มที่ขาวสะอาด เพราะเป็นไปตามกติกา

"ถ้าคุณล้มอีกข้างได้ด้วยวิธีการของปีศาจ พวกที่สนับสนุนคุณก็จะเป็นพวกปีศาจ แล้วคุณอย่าหวังเลยว่าคุณจะอยู่อย่างมีความสุข เหมือนกับนักการเมืองบางคนเริ่มต้นมากจากการซ่องสุมปีศาจ ในที่สุดมันทนปีศาจทำร้าย เหมือนหมองูตายเพราะงู แต่นี่ยิ่งกว่าเพราะนี่คือปีศาจ

บางคนชอบหลอกว่าตนเองเป็นคนมีธรรมะ พอหลอกใช้ ปีศาจในตัวเองก็กำเริบแล้ว เทพในตัวก็ลดลง แต่คนที่อาศัยธรรมะ ชะล้างตัวเองก่อนแล้วเอาธรรมะนั้นไปชำระล้างจิตใจของปีศาจที่อยู่รอบตัวด้วย นั่นแหละคือจะได้กองทัพธรรมะ และกองทัพเทวดาด้วย แต่นักการเมืองปัจจุบันชอบสะสมกองทัพปีศาจ และหวังว่ากองทัพปีศาจจะจงรักภักดีกับตนเอง จะมาใจดีกับตนเอง มันเป็นความคิดที่ผิดพลาด"

การให้เงินสร้างความ

ปั่นป่วนในบ้านเมือง

เรื่องนี้ต้องพูดกันตรงไปตรงมาว่าความปั่นป่วนจะเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์สงบจำต้องใช้เงิน มันเป็นเรื่องธรรมดาภายใต้สิ่งแวดล้อมของประเทศเรา

พูดโดยกรรมคือ นี่คือกรรมของนักการเมืองสกปรก นักการเมืองสกปรกใช้วิธีนี้กันทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะในไทย แม้แต่ประเทศที่บอกว่าเป็นประชาธิปไตย ในท้องถิ่นเขาก็ใช้แต่ไม่โฉ่งฉ่างเหมือนบ้านเรา โดยกรรมของนักการเมืองที่เล่นการเมืองด้วยความสกปรก ผลที่ได้รับย่อมไม่สะอาด ย่อมไม่ใช่ความสุข ย่อมไม่ใช่ความเจริญ ย่อมไม่ใช่ชื่อเสียงที่หอมหวน สิ่งที่เกิดขึ้นทันที เมื่อไรที่ความสกปรกมันถึงเวลาส่งกลิ่น เพราะความสกปรกต้องหมักหมมระยะหนึ่งถึงส่งกลิ่น เมื่อนั้นชื่อเสียงจะป่นปี้ นี่คืออย่างแรกที่จะเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์

สิ่งที่จะเกิดขึ้นในจิตใจเป็นอันดับต่อไปคือ เราจะไม่รู้จักแล้วว่าอะไรคือความดี คือศีลธรรม คือความสว่าง จะรู้เพียงอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรถึงจะได้อำนาจมา จิตใจมีแต่ความคับแคบ เพ่งเล็งเฉพาะเรื่องอำนาจอย่างเดียว เป็นจิตใจที่ไม่มีความสุข เต็มไปด้วยความอึดอัด เต็มไปด้วยความรู้สึกหม่นหมอง ความรู้สึกระแวงภัย ทั้งๆ ที่ไม่มีภัยแต่ก็ระแวง

"ผมเคยเจอประเภทที่พี่น้องทำงานอยู่ออฟฟิศเดียวกัน ชายคาเดียวกัน แต่ต่างฝ่ายต่างต้องออกจากโรงงานต้องใช้เส้นทางที่ไม่ซ้ำ กลัวอีกฝ่ายมายิง ทั้งที่เป็นพี่น้องแต่ห้ามไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าจะออกเมื่อไร แต่ต้องนั่งทำงานเดียวกัน และพูดราวกับว่าเป็นพี่น้องดีๆ กันอยู่"

ตัวอย่างข้างต้นเป็นแค่การเมืองระดับโรงงาน แต่ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นการเมืองระดับชาติ ความระแวงจะยิ่งมากมายกว่านั้นสักแค่ไหน การที่เราไม่รู้สึกว่าตัวเองมีเพื่อน เพราะใช้เงินซื้อมา ผลที่ตามมาคือชีวิตที่เหลือเต็มไปด้วยความระแวง ไปไหนก็กลัวโดนฝ่ายตรงข้ามมาเก็บ และกลัวทั้งฝ่ายเดียวกันแว้งกัด เพราะไม่สามารถไว้ใจใครได้ ผลคือความไม่มีพวกความไม่มีเพื่อน

สิ่งที่ควรพิจารณาต่อไปเกี่ยวกับการใช้เงินคือ การใช้เงินมาก-น้อยกับระดับของผลกรรม

สมมติว่ามีคนๆหนึ่งให้เงิน 1 ล้านบาทกับบรรดามอเตอร์ไซค์วินเพื่อก่อความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง แม้จะใช้เงินเพียงแค่นี้แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าระดับของความปั่นป่วนจะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด เนื่องจากบรรดาพี่วินมอเตอร์ไซค์บางคนหาใช่บุคคลที่ยับยั้งชั่งใจได้ดีนัก เมื่อบางคนให้เงิน ให้อำนาจเพื่อป่วนบ้านเมืองก็จะทำด้วยความรู้สึกคึกคะนอง ซึ่งจะไม่สามรถพยากรณ์ได้ว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้จะไปก่อความเสียหายใดๆบ้าง เพียงเท่านี้ผลกรรมที่จะได้รับก็ไม่สามารถคำนวณได้ว่ามากมายขนาดไหน

"ใจมันเปิดกว้าง ขอให้เกิดความเลวร้ายขอให้เกิดความอลหม่านขึ้นมา ใจที่ไม่มีประมาณทำให้ต้องรับผลที่ไม่มีประมาณเหมือนกัน แต่ถ้าใช้เงินเท่ากันบอกว่าให้วันปิดทางเข้าออก อย่าทำอะไรมากกว่านั้น อันนี้ผลจำกัดแล้ว ความเลวร้ายของเจตนาจำกัดลงมา ผลที่ตามมาก็จำกัด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเลยคือความมีบุญของคนว่าจ้างจะลดเกรดลงมา ระดับชีวิตของคนมีอำนาจตกต่ำลงทันที แทนที่จะสุขอย่างคนมีบุญระดับนั้น จิตใจมันหม่นหมองจิตใจเต็มไปด้วยความคิดร้าย"

ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ

เนื่องจากโรงพยาบาลเป็นแหล่งช่วยชีวิต เป็นแหล่งทำให้อาการป่วยไข้หาย การที่เราไปปิดไปยับยั้งแหล่งช่วยชีวิตคน หรือแหล่งรักษาคน ลองคิดดูว่าหากว่ากฎแห่งกรรมมีจริง เวลาที่เราใกล้ตายสมควรจะได้รับการช่วยเหลือ หรือว่าสมควรถูกกระทืบซ้ำให้ตายเร็วขึ้น หรือว่าเราเจ็บป่วยอยู่ สมควรที่เราจะได้รับการเยียวยา หรือได้รับเชื้อโรคร้ายแพร่เข้าสู่ร่างกายของเราหนักขึ้น

เรื่องการปิดถนน ขอให้มองอย่างนี้ว่า ตามในคัมภีร์ก่อนที่เป็นพระอินทร์ก็เป็นคนธรรมดา เป็นมานพหนุ่มชักชวนเพื่อนให้มาสร้างศาลาให้คนเดินทางไกลมาร้อนๆได้พักผ่อน ทำทางให้คนเดินทางเดินได้สะดวก ชั้นแรกมีพรรคพวกเห็นดีเกิดแรงบันดาลใจช่วยกัน 33 คน ทั้ง 33คนตายไปก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ขณะที่ตัวมานพหนุ่มกลายเป็นพระอินทร์เป็นใหญ่เป็นประธาน แสดงว่าการทำอะไรให้สาธารณชนแม้เพียงการสร้างศาลาริมทาง หรือการสร้างทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้คนได้รับความสบายในการเดินทางก็เป็นบุญใหญ่แล้ว

"ไม่ต้องเชื่อเรื่องพระอินทร์ก็ได้ แต่ในแง่ของผลบุญที่เห็นได้ชัดคือการเป็นผู้ได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางในการเป็นอยู่ คือเราสามารถคะเนได้ด้วยน้ำหนักทางใจว่าเราคิดให้ประโยชน์กับคนหมู่มากมันรู้สึกดีแสนดี เอาแค่ตรงความรู้สึกทีเกิดขึ้นในฐานะผู้สร้าง มันราวกับว่าสวรรค์วิมานผุดขึ้นในใจ ส่วนมันจะผุดขึ้นจริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่มันผุดขึ้นแน่ๆ ณ เวลานั้น กลับกันทางเขามีอยู่ดีๆ ให้คนสัญจร ไปปิดกั้นให้เขาได้รับความอึดอัด ได้รับความไม่สะดวก ได้รับความเดือดร้อน เมื่อลองคิดเปรียบเทียบของกรรมที่ทำให้คนกลายเป็นพระอินทร์ มันจะกลับเป็นแบบไหน นี่ว่ากันตามความเชื่อทางศาสนา ไม่ต้องพูดถึงภพชาติหน้า แต่เอาความรู้สึกทางใจ ความรู้สึกทางใจที่ทำให้คนหนึ่งเป็นพระอินทร์ขึ้นมากับความรู้สึกทางใจที่มันเป็นตรงกันข้าม ลองนึกภาพนี้ให้ออก คือเล่นเกมอะไรอย่าให้เดือดร้อนประชาชนได้หรือไม่ คือไม่ต้องเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือ หรือตัวประกัน"

การบิดเบือนข้อมูล

ขอย้ำอีกครั้งว่าสิ่งที่นำเสนอทั้งหมดข้างต้นไม่ได้มีเจตนาว่ากล่าวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะสิ่งที่นำเสนอนี้คือผลกรรมอันเป็นสัจธรรม ที่ไม่ว่ากลุ่มใด ฝ่ายใด สีใดกระทำย่อมได้รับผลกรรมเหมือนกันทั้งหมด

การโกหกพกลม การบิดเบือนความจริง มีผลรุนแรงมาก เพราะความจริงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในธรรมชาติ ขอให้นึกว่าเหมือนอะไรแท่งหนึ่งที่เป็นแท่งตรงๆ ปักหลักฐานของมันมั่นคงอยู่ การที่เราไปพยายามพูดหรือบิดเบือนความจริง ก็คือความพยายามในการดัดหรือแต่งแท่งนั้นให้บิดเบี้ยว หรือเสียรูปไป แม้ตอนพูดจะดูเหมือนง่ายไม่ต้องใช้พลังอะไรออกไป แต่ตอนสะท้อนกลับมันเหมือนกับความบิดเบือนหรือบิดเบี้ยวของแท่งๆนั้น ยิ่งเราไปบิดให้เบี้ยวแค่ไหนผลที่จะได้รับ สภาวะที่เราต้องไปเสวยเท่ากันกับความบิดเบี้ยวของความจริงนั้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่โกหกเป็นนิจมีผลเบาที่สุดเมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็คือ จะเป็นผุ้ถูกใส่ไคล้เป็นผู้โดนเข้าใจผิด เป็นผู้ที่ความจริงในชีวิตถูกทำให้มันบิดเบี้ยว อย่างเช่นถูกใส่ไคล้ก็เป็นการถูกทำให้ความจริงในชีวิตบิดเบี้ยว เราเป็นคนดีอยู่ดีๆ ถูกใส่ไคล้ว่าชั่ว หรือถูกเข้าใจผิดทั้งที่ตั้งใจดีแท้ๆ คนกลับมองว่าเป็นการสร้างภาพ ทุกอย่างไม่ว่าจะตั้งใจประเสริฐขนาดไหนจะถูกตีความบิดเบือนไปหมด นั่นคือผลของการที่เราเคยบิดเบือนความจริงมาก่อน ความจริงเขาตอบสนองด้วยการเอาแท่งที่บิดเบี้ยวมาเป็นชีวิตของเรา ชีวิตของเราจะถูกบิดเบือนหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าการบิดเบือนของเราเป็นไปเพื่อความเดือดร้อน เป็นไปเพื่อความเข้าใจผิดของคนหมู่มาก ทำให้คนหมู่มากมีความแตกแยก หรือความระส่ำระสาย เวลาที่ผลที่เกิดขึ้นมันจะไม่ใช่แค่ความบิดเบี้ยวธรรมดา จะเป็นความบิดเบี้ยวที่ทำให้เหมือนตกนรกทั้งเป็น เพราะสิ่งที่เราทำกับคนหมู่มาก ถ้าดีมันเหมือนสวรรค์ ถ้าร้ายมันเหมือนนรก

************

ประชาชนผู้ก่อกรรม

กรรมนี้จึงตกแก่ประเทศชาติ

"กรรมหรือการกระทำในครั้งนี้ไม่ใช่กรรมของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นกรรมโดยรวมของชาติทั้งชาติ ถ้าคนในชาติทำกรรมที่ผิดไป ชาติก็ล้มได้" ดังตฤณ กล่าวถึงผลกรรมที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของกลุ่มคนที่ทำความเสียหายแก่ประเทศชาติ

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศอย่ามองว่าเป็นกรรมของผู้นำ ที่มีประชาชนกลุ่มหนึ่งมองว่าผู้นำลอยตัวไม่กระทำการใดการหนึ่งเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย แถมยังมองด้วยว่าเป็นการไปปรองดองกับโจร

เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นกรรมของผู้นำ แต่ให้มองเป็นกรรมของประชาชนที่ทำให้เกิดความร้าวฉานหาที่จบสิ้นได้ยาก ถ้าไม่มองอะไรร่วมกันเพื่อให้ความร้าวฉานน้อยลง ความร้าวฉานก็จะลึกไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ต้องแยกกันจริงๆ

"ชาติเรายังไม่ถึงเวลาแยก ไม่ใช่การแบ่งชาติมีไทยเหนือ ไทยใต้ แต่ที่เห็นก็แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าแตกแยกกันเอง ไม่มีผู้นำที่แท้จริงตามสายอำนาจ ส่วนคนไทยที่เหลือก็มีแต่คนอยากให้เรื่องสงบ อยากให้จบ แต่ไม่มีผู้นำทางความคิดจะเป็นศูนย์รวมว่าต้องมองอย่างไรหรืออยากให้จบแต่ไม่มีวิธีการให้จบ การพูดเรื่องสมานฉันท์เป็นแค่รายการคั่นสถานการณ์ ไม่ใช่รายการที่แท้จริง ทุกคนรู้ว่าต้องเอาความจริงใจมาแก้ปัญหา แต่ความจริงใจถูกฝากไว้ที่ใคร"

กรรมที่คนไทยทำไว้ร่วมกันนั้น ดังตฤณ บอกว่า เริ่มมาจากการไม่มีความจริงใจให้กันมาระยะหนึ่งแล้ว ต่างฝ่ายต่างเอาชนะกัน ต่างฝ่ายต่างมองว่าตนเองถูกและฟังข้อมูลแต่ฝ่ายตน พรรคพวกข้างตนเองถูกต้องที่สุด มองอีกข้างเป็นศัตรู จึงกลายเป็นผลกรรมที่ต้องรับร่วมกัน นี่จึงเป็นผลกรรมที่ทำร่วมกันไม่ใช่กรรมของผู้นำ ไม่ใช่กรรมของผู้ตาม แต่เป็นกรรมของคนไทยด้วยกันที่ทำแล้วไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น

และคนไทยได้เริ่มทำกรรมร่วมกันแบบนี้มาตั้งแต่เหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อปีที่ผ่านมา เป็นการทำกรรมเพื่อความแตกแยก ไม่ใช่ทำกรรมเพื่ออยู่ร่วมกัน พอมาถึง ณ เวลานี้ซึ่งก็ไม่มีใครนึกว่าจะมาถึงจุดนี้ จุดที่ว่าคือจุดของการใช้อารมณ์เป็นการทำให้ประเทศแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ใช่การแบ่งประเทศอย่างที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งต้องการ

"อีก 5 ปีข้างหน้าเราอาจไม่มีบ้านอยู่ อาจมีคนมายึดประเทศได้ง่ายๆ ไม่มีงานทำ ไม่มีทรัพย์สินเป็นของตนเอง การมีรถขับ การไปจับจ่ายที่ห้างสรรพสินค้า หรือมองว่านี่คือที่ดินของฉัน เป็นบ้านของฉัน ทุกอย่างอาจเปลี่ยนไปอีกถ้าเรายังทำกรรมอย่างนี้กันไม่หยุด"

ดังตฤณ บอกต่อไปว่า ณ ตอนนี้เป็นกรรมที่เราต้องมาศึกษาร่วมกันว่าเกิดอะไรขึ้น นำประวัติมาเรียนรู้ซึ่งสามารถดูได้จากเพื่อนบ้านที่บ้านแตกสาแหรกขาด หรืออย่างน้อยศึกษาสักนิดว่าประเทศที่สามารถแบ่งข้างกันได้สำเร็จมีเหตุปัจจัยอะไรรองรับ แล้วประเทศไทยมีปัจจัยรองรับอย่างนั้นหรือไม่ หากยังทำกรรมกันอยู่อย่างนี้ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น หากไม่ตระหนักว่ากรรมที่ทำร่วมกันเป็นไปเพื่อความอยู่รอดแล้วจะมีชื่อของคนไทยในโลกนี้หรือไม่

เขาบอกว่าการกระทำใดก็แล้วแต่ต้องคำนึงถึงระยะยาวมากกว่าระยะสั้น กรณีของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เราเห็นว่าไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้าย คนอื่นๆ ที่เหลือในประเทศก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ขอให้เข้าใจว่าการกระทำเหล่านี้กำลังทำกรรมทำอกุศลกันอยู่ ซึ่งความหมายของอกุศลไม่ได้แปลว่าเลวร้าย แต่หมายความว่าเป็นไปเพื่อความเสี่ยง เป็นไปเพื่อความไม่เจริญ เข้าสู่ที่มืด อับทึบ และเข้าสู่ที่นั่งลำบาก

"เวลาที่ใครออกมาเรียกร้องอยู่บนถนนขวางความเจริญของประเทศ มักถูกมองว่าคนกลุ่มนี้เลว และคนที่ออกมาเขาก็จะมองว่าเขากำลังเสียสละ กำลังทำดี วิธีนี้มีคนเข้าใจ แต่สิ่งที่เรียกร้องจะมาใช้อารมณ์เรียกร้องไม่ได้ หรือการบอกให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ จริงหรือไม่ที่ต้องการแค่นี้ หรือเป็นการเรียกร้องเพื่อหาความสมเหตุสมผลในการออกมาอยู่กลางถนน ซึ่งแกนนำก็ยังไม่รู้ว่าจะนำธงไปปักตรงไหน ดังนั้นขอให้มองตรงนี้ก่อน มองคนที่เป็นคนไทย ทำกรรมที่พากันให้รอด แต่ที่ทำกันอยู่มองไม่เห็นธง มีแต่การเอาชนะกัน

เช่นกันคนที่เหลือในประเทศเวลามาเรียกร้อง ธงคือความสงบ กลับมีแต่ความอยาก ไม่รู้ว่าวิธีการต้องทำอย่างไร ถ้าเราไม่เอาเรื่องอารมณ์ ความอยาก แต่เอาความจริงใจของคนไทยด้วยกันจะเป็นสิ่งดี เพราะวิธีการของแต่ละคนแต่ละฝ่ายที่ทำกันอยู่นี้ไม่ใช่วิธีการที่จะได้อะไรนอกจากความพินาศ"

หากไม่นำอารมณ์มาเป็นที่ตั้ง เอาความเป็นผู้ชนะมาบดบัง ก็จะเกิดการเจรจาเพื่อนำพาประเทศให้รอด และไม่ใช่แค่ระดับผู้นำเท่านั้น แต่จะเกิดตั้งแต่ระดับของสื่อและผู้เสพสื่อ โดยสื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมความจริงใจ สามารถคุยกันเห็นร่วมกัน เพราะทุกวันนี้กรรมที่กำลังทำอยู่ทั้งภาครัฐ สื่อ ประชาชน เป็นไปเพื่อความพินาศ หากเกิดความเห็นตรงกันจะเกิดความร่วมมือโดยปริยาย

ย้อนดูกรรมเก่า

ส่งผลต่อกรรมปัจจุบัน

กับคำถามที่ว่ากรรมหรือการกระทำใดที่ทำให้ประเทศชาติตกอยู่ในสภาพนี้ ดังตฤณ เท้าความว่าต้องมาดูกันที่จุดเริ่มแรกของการก่อเกิดประเทศชาติที่ต้องมีศูนย์กลาง ไม่ใช่การเกิดจากประชาชนต่างอยู่ ต่างกิน ต่างทำงาน แต่มีศูนย์กลางการปกครอง ซึ่งไทยเป็นประเทศหนึ่งเหมือนกับในอีกหลายๆ ประเทศที่ระบอบการปกครองได้ถูกเปลี่ยนมาเรื่อยๆ

ต่อมามีคณะหนึ่งคณะใดบอกศูนย์รวมอำนาจแบบเดิมไม่เอาแล้ว จึงเป็นการไปแย่งชิงอำนาจจากกษัตริย์เพื่อปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยแบบไทยได้สะท้อนให้เห็นว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นกลับไม่ใช่การมีเสรีภาพทางความคิด การเมือง หรือการรวมพรรคพวกมาแข่งขันกันทางความคิด

หากแต่ประชาธิปไตยแบบไทยคือการเปิดโอกาสให้แย่งชิงอำนาจ บทบาทฝ่ายค้านคือการถ่วงดุลอำนาจ เพื่อคัดค้านการตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง แต่ฝ่ายค้านในระบอบประชาธิปไตยของไทยคือมีไว้แย่งชิงอำนาจ แม้จะเห็นการกระทำนี้เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ในประเทศไทยสิ่งนี้เกิดขึ้นชัดเจนมาก เพราะเกิดจากการไปแย่งชิงอำนาจของกษัตริย์มาตั้งแต่แรก ซึ่งธรรมชาติจัดสรรว่าประเทศในแหล่งนี้เหมาะที่จะอยู่กับกษัตริย์ แต่กลุ่มหรือคณะที่มีอำนาจมากบอกไม่เอาจึงโค่นบัลลังก์และทำได้สำเร็จ

ดังนั้น การถามว่าประเทศไทยทำกรรมอะไรมานั้นคือการ "ฆ่ากษัตริย์" ในความหมายของคำว่าฆ่าคือการทำให้ฐานะความเป็นกษัตริย์ถูกลดบทบาท ทำให้พระองค์ตายทั้งเป็น โดยไม่เคยรู้ว่าคนในระดับกษัตริย์นั้นการถูกลิดรอนอำนาจจะรู้สึกอย่างไร

และสิ่งที่เป็นผลต่อเนื่องคือคนจะมองแค่ว่าทุกคนมีเสรีภาพ มีประชาธิปไตย แต่มีคนกลุ่มหนึ่ง คนที่หัวรุนแรงทางการเมืองอยากเห็นประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกา ปกครองด้วยระบอบประธานาธิบดี

"ประเทศไทยไม่ใช่ระบอบประธานาธิบดีมาตั้งแต่แรก คนที่พยายามคิดให้เป็นระบอบประธานาธิบดีคือคนที่ไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าระบอบการปกครองในไทยแท้ๆ ดั้งเดิมมาจากอะไรและคลี่คลายถึงไหนแล้ว เราคลี่คลายมาถึงตอนนี้มาถึงจุดที่เรียกว่ามั่วไปหมด คนจะมองไม่ออกเพราะเราไม่ได้ถือประชาธิปไตยเต็มใบ เรามีโอกาสถือหางข้างใคร สนับสนุนดันก้นใครไปมีอำนาจเท่านั้นเอง"

ดังตฤณ ยังบอกอีกว่า สิ่งที่ได้มีการเรียกร้องกันมาตลอดคือผู้นำที่ดีราวกับกษัตริย์ หรือกำลังเรียกร้องหาคนใดดีราวกับเป็นกษัตริย์ แต่เมื่อจุดเริ่มมาจากการฆ่ากษัตริย์แล้วจะเอากษัตริย์มาจากไหน เขาเปรียบเทียบแค่คนธรรมดาคนหนึ่งให้ถามใจตนเองว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทุ่มเทความรู้ ความสามารถ มันสมองเพื่อคนทั้งประเทศที่เราไม่รู้จัก เราจะเอาไหม ถ้าถามใจโดยไม่ได้หลอกตัวเองก็คือไม่เอา จะทำเพื่อตัวเองเกินกว่า 50% แน่นอนหากคิดเช่นนี้นั่นคือนักการเมือง

"นักการเมืองเวลาพูดจะทำเพื่อประเทศชาติ ทำเพื่อพรรค ไม่มีใครบอกว่าทำเพื่อตัวเอง จะเห็นว่าค้านกับความจริงขนาดไหน ผิดธรรมชาติขนาดไหน จึงเป็นการสร้างภาพที่สวนกับความจริงที่มักมองเห็นประโยชน์แก่ตนก่อนทั้งนั้น"

ฉะนั้นเมื่อรู้ถึงความเป็นไปเป็นมาของกรรมของประเทศที่ประสบอยู่ สิ่งที่ทำได้ก่อนอื่นนั่นคือทำความเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วจะได้มีลิมิตตัวเองว่าจะเรียกร้องเอาอะไรแค่ไหน เพราะในยุคของการฆ่ากษัตริย์หรือลิดรอนอำนาจกษัตริย์นั้นไม่ใช่กรรมของพวกเราหรือประชาชนก็จริง แต่ราวกับว่าเรากำลังรับกรรมอยู่ แล้วตอนรับผลกรรมนั้นเราก่อกรรมอะไรต่อ เพราะสิ่งที่กำลังทำอยู่ทุกวันนี้คือกำลังฆ่าประเทศ ไม่ใช่การฆ่ากษัตริย์เหมือนที่ผ่านมาหรือฆ่านักการเมืองฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่เป็นการฆ่าประเทศโดยไม่รู้ตัว

ความไม่รู้ตัวคือต่างคนต่างฝ่ายต่างอยู่กับความเชื่อของตนเองว่าสิ่งที่ทำถูกต้อง การกระทำเป็นการกระทำของวีรบุรุษ ทำสิ่งที่ลูกหลานจะต้องจารึกชื่อไว้ว่าวีรบุรุษนี้มากอบกู้สถานการณ์ที่กำลังเลวร้าย

การมีภาพนี้อยู่ในใจ เชื่อแต่สิ่งที่เขาบอก ไม่ฟังอย่างอื่น ก็เป็นการเดินหน้าทำกรรมกันต่อไป ทำความฉิบหายให้กับประเทศชาติ และหากเรื่องนี้จบ ตกลงกันได้ ยกเลิกการชุมนุมบนถนนแล้วจะไม่เกิดอะไรอีก ขอให้นึกว่าจากนี้ไปจะไม่ใช่เรื่องที่อยู่บนถนนแล้ว แต่เป็นเรื่องของความคิดของแต่ละคนที่น่ากลัว เพราะมีอะไรอยู่ในความคิดของคนแต่ละคนที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

************

ประมวลกฎหมายลงทัณฑ์โจรแดง

ทนายวันชัย สอนศิริ ได้ทำการรวบรวมประมวลกฎหมายจากส่วนต่างๆ 13 ข้อ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของกลุ่มเสื้อแดงที่สร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองมาเป็นเวลาแรมเดือน รวมถึงกลุ่มเครือข่ายเสื้อแดงที่มีพฤติกรรมบ่อนทำลายสถาบันผ่านสื่อทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ อย่างโจ๋งครึ่ม ที่หากความวุ่นวายรอบนี้จบลง หวังว่าทั้งพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ จะทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถ ให้ถือเป็นคนของแผ่นดินไทย มิใช่สนับสนุนนักการเมือง

กฎหมาย 13 ข้อที่ทนายวันชัย มั่นใจว่าจะสามารถลงโทษทัณฑ์กลุ่มเสื้อแดงได้แน่นอน ประกอบด้วย

1.พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ลักษณะ 14 สัตว์และสิ่งของในทาง มาตรา 114 ห้ามมิให้ผู้ใดวาง ตั้ง ยื่น หรือแขวนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกระทำด้วยประการใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

2.พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 38 ห้ามมิให้ผู้ใดติดตั้ง แขวน วางหรือกองสิ่งใดในเขตทางหลวงในลักษณะที่เป็นการกีดขวางหรืออาจเป็นอันตรายแก่ยานพาหนะ หรือในลักษณะที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางหลวงหรือความไม่สะดวกแก่งานทาง ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.มาตรา 39 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการปิดกั้นทางหลวง หรือวางวัตถุที่แหลม หรือมีคม หรือนำสิ่งใดมาขวางหรือวางบนทางหลวง หรือกระทำด้วยประการใดๆ บนทางหลวงในลักษณะที่อาจเกิดอันตรายหรือเสียหายแก่ยานพาหนะหรือบุคคล ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4.มาตรา 40 ห้ามมิให้ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เปลี่ยนแปลง ขีดเขียน เคลื่อนย้าย รื้อถอน หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเครื่องหมายจราจร ป้ายจราจร เครื่องหมายสัญญาณ เครื่องหมายสัญญาณไฟฟ้า เครื่องแสดงสัญญาณ อุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย รั้ว หลักสำรวจ หลักเขต หรือหลักระยะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ติดตั้งหรือทำให้ปรากฏในเขตทางหลวง ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

5.ประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ความผิด ลักษณะ 11 ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง หมวด 3 ความผิดฐานหมิ่นประมาท มาตรา 328 ถ้าความผิดหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษรกระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท

6.ประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ความผิด ลักษณะ 11 ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง หมวด1 ความผิดต่อเสรีภาพ มาตรา 309 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

7.ประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ความผิด ลักษณะ 12 ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ หมวด 7 ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ มาตรา 358 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น หรือผู้อื่นที่เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นำกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัยพ์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

8.ประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ความผิด ลักษณะ 5 ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน มาตรา 210 ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

9.ประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ความผิด ลักษณะ 1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หมวด 1 ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี

10.ประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ความผิด ลักษณะ 12 ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ หมวด 8 ความผิดฐานบุกรุก มาตรา 365 ผู้ใดโดยไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไปหรือซ่อนตัวอยู่ในเคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์ หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้นเมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก และการกระทำความผิดได้กระทำ

(1) โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย

(2) โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

(3) ในเวลากลางคืน

ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

11.ประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ความผิด ลักษณะ 1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร มาตรา 113 ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ

(1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ

(2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ

(3) แบ่งแยกราชอาณาจักร หรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

12. พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2546 ลักษณะ 1/1 ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย มาตรา 135/1 ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดอาญาดังต่อไปนี้

(1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรง หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ

(2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ

(3) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของบุคคลใด หรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ

ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใด อันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาท ถึง 1000,000 บาท

13.ประกาศจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ห้ามชุมนุมหรือมั่วสุมในพื้นที่ที่กำหนด รวมไปถึงราชประสงค์ โดยผู้ละเมิดมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น