25 พฤษภาคม 2553

เมื่อนกพิราบตายไปจากใจเรา...

อกสั่นไหวใจสะท้าน เมื่อเห็นเปลวเพลิงสีแดงฉานขับควันดำทะมึนมืดเหนือเมืองหลวงของประเทศ ใต้เปลวเพลิงระอุนั้น จำนวนศพของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนยังเพิ่มขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ซ้ำยังขยายพื้นที่ ‘แนวสูญเสีย’ ไปสู่ชานเมือง นอกเมือง กระทั่งแม้ในจังหวัดเล็กๆ ที่เคยเงียบสงัดก็ยังปรากฏศพนอนเรียงราย เปลวเพลิงขยายจากเมืองหลวงสู่เมืองเล็กราวจุดคบไฟแหย่กองฟางเรียงราย นี่หรือคือสงคราม
กลางเมือง นี่หรือคือความพินาศย่อยยับภายหลังสงครามที่ก่อตัวจากหัวใจมนุษย์ ใครเป็นผู้ปล่อยเหยี่ยวกรงเล็บฉกรรจ์ไปฉีกเนื้อนกพิราบตัวเล็กๆ ที่เคยกระพือปีกอย่างสุขสันต์ในหัวใจเรา
ภาพข่าวภาพหนึ่งที่ผู้เป็นทหารเดินถือปืนเดินผ่านศพที่นอนจมกองเลือด มันไม่น่าทำให้หัวใจเราสั่นไหวระรัวถึงเพียงนั้นหากศพนั้นเป็นอริราชศัตรูผู้คุกคามชาติบ้านเมือง แต่นี่คือศพของชายไทยไม่ทราบชื่อ ที่อาจมีพ่อแม่ลูกเมียรออยู่เบื้องหลัง และในวันข้างหน้าเขาอาจเป็นผู้หยิบยื่นน้ำสักหยดให้ใครบางคนที่กำลังหิวกระหาย
เขาตายไปโดยที่ใครบางคนไม่รู้ร้อนหนาวกับชีวิตใดๆ แต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า ‘เป้าหมาย’ มากกว่าหนึ่งชีวิต เขาสิ้นชีวิตไปบนความสำเร็จของเพียงปฏิบัติการเล็กๆ ของพลทหารคนหนึ่ง เขาอาจตายไปสมดั่งแรงเชียร์ของคนอีกข้างหนึ่งที่พร้อมเยาะเย้ยถางถางและยิ้มรับชัยชนะเมื่อแลเห็นศพ เช่นเดียวกัน มันก็สมกับแรงยั่วยุของคนบางคนที่ยืนข้างเดียวกับเขา แม้จะพร่ำบอกว่าเสียใจ แต่มันไม่มีวันคุ้มแก่ราคาแห่งชีวิต
เอกองค์อัลลอฮ์สร้างมนุษย์เพื่อก้าวเดินผ่านบททดสอบสู่สรวงสวรรค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ยาก...ที่จะเกิดเป็นมนุษย์ นั่นเป็นเหตุผลอันสมควรว่าใครบางคนไม่ควรเอาความตายของผู้อื่นมาต่อรองแลกเปลี่ยนเพื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด

ใช่... คนบางคนพร้อมตายไปพร้อมกับบางความเชื่อหรือความศรัทธา แต่นกพิราบในหัวใจของเราล้วนบอกเราเสมอว่า ไม่มีใครสมควรตาย เพราะนักโทษประหารบางคนฝันเห็นดอกไม้ในวันข้างหน้า นักปฏิวัติกลางป่าเขาทุกคนล้วนต้องการเห็นท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ นกพิราบในใจเรายังส่งเสียงร้องบอกว่าเขาเหล่านี้ไม่สมควรตายไปโดยไม่มีโอกาสได้เห็น

เราเปิดกรงนกพิราบเพื่อเปิดรับเหยี่ยวร้ายทำไมกัน? ทั้งที่เราเกิดมาพร้อมนกพิราบตัวหนึ่งที่เติบโตและโบยบินอยู่ในหัวใจทั้งนั้น ทุกชีวิตล้วนต้องการความสุขสงบและสันติมิใช่หรือ...

“ผมขอให้ความมั่นใจครับว่า เจ้าหน้าที่กำลังทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่ในการที่จะระงับเหตุ และในการที่จะนำบ้านเมืองของเรากลับเข้าสู่ภาวะปกติ ผมขอเป็นกำลังให้กับเจ้าหน้าที่และประชาชนทุกคน และขอให้ประชาชนทุกคนได้มีความสบายใจว่า ผม รัฐบาลและเจ้าหน้าที่มีความมั่นใจและมีความแน่วแน่ว่าเราที่จะสามารถฝ่าฟันปัญหาต่างๆ ไปได้และก็จะนำบ้านเมืองบ้านเรากลับสู่ความสงบเพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนครับ” นั่นคือคำกล่าวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้
“เรียนพี่น้องว่า วันนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราตัดสินใจด้วยความยากลำบาก พี่น้องครับ พวกผมพยายามทำอย่างดีที่สุดแล้ว เพื่อให้ประเทศนี้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง แต่ในเมื่อการต่อสู้ของประชาชนได้เกิดความสูญเสีย เกิดการบาดเจ็บล้มตายมากมาย และไม่มีทีท่าว่าความตายนี้จะยุติลงไป ผมเรียนพี่น้องว่า แม้เราตัดสินใจแนวแน่ว่าสู้คราวนี้ตายเป็นตาย แต่เราต้องตัดสินใจร่วมกันว่าเราอย่าตายให้กับปรากฏการณ์นี้อีกเลย เราหยุดการบาดเจ็บล้มตาย แล้วรอวันเวลาในการมาสู้ใหม่...” คือคำประกาศครั้งสุดท้ายของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงบนเวทีแยกราชประสงค์ก่อนเดินทางเข้ามอบตัวกับตำรวจ
ทั้งนายกรัฐมนตรีและแกนนำคนเสื้อแดงต่างใช้คำว่า ‘ประชาชน’ ในบริบทที่เหมือนกัน เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองกำลังกระทำก็เพื่อ ‘ประชาชน’

นายกรัฐมนตรีเดินหน้าลุยต่อด้วยอำนาจหน้าที่ของตน ด้วยกฎหมายและอำนาจรัฐที่มีสิทธิ์บังคับใช้ในมือตน โดยไม่อาจตอบคำถามคนไทยได้ในวันข้างหน้าว่า ชีวิตของประชาชนกับเก้าอี้ของตนอย่างไหนมีค่ามากกว่ากัน ส่วนแกนนำเสื้อแดงอย่างณัฐวุฒิแม้จะเข้ามอบตัว และประกาศให้พี่น้องคนเสื้อแดงสลายการชุมนุม แต่มันก็เกิดขึ้นหลังจากจำนวนศพเพิ่มจำนวนสูงขึ้นอย่างน่าตระหนก จากศพหนึ่งกำลังเดินทางเกินครึ่งร้อย และพร้อมเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

เปรียบตนเป็นไพร่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสียจนลืมความหมายแห่งชีวิต ‘มนุษย์’

รากเหง้าโบราณเราว่าไว้ เมื่อโหมจุดไฟเผาป่าแล้ง จึงยากจะหยุดมันเพียงเพราะเอาคบไฟไปจุ่มน้ำ...

ปล่อยให้เหยี่ยวฉกาจปู้ยี่ปู้ยำพิราบในใจอย่างทารุณ
กรงในใจ ใช่กรงใคร เปิดปิดได้แต่มือเรา

เพราะเราเองมิใช่หรือที่หลงลืมแนวทางสู่สรวงสวรรค์ของพระผู้สร้างอันยิ่งใหญ่ ลืมธรรมแห่งบรมศาสดา ปล่อยพญามารร้ายเปิดกรงใจของตนเอง

นกพิราบตัวนั้น จึ่งถูกย่ำยีอย่างไม่เหลือซากในบัดนี้...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น